“เร่งรีบ” คือภาพยนตร์เกี่ยวกับบาสเกตบอล ที่ฉายทาง เน็ตฟิส ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2022 ที่ผ่านมา สิ่งที่เกิดขึ้นและคำวิจารณ์ที่ได้รับเมื่อหนังเรื่องนี้เข้าฉายคือ นี่เป็นหนังที่เกี่ยวกับบาสเกตบอลที่รวมตัวนักบาส ได้มากที่สุดเรื่องหนึ่ง และมีฉากการเเข่งขัน ที่สมจริงที่สุดเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้
การยำเอาโลกฮอลลีวูดมารวมกับโลกของ เกิดขึ้นจาก 2 พรสวรรค์ของ 2 วงการอย่าง เลบรอน เจมส์ และ อดัม แซนด์เลอร์ จนทำให้เกิดปรากฏการณ์หนังบาสเรื่องใหม่ได้สำเร็จ
ดาราผู้ล้มเหลวกับบาสเกตบอล
การมาเจอกันของ อดัม แซนด์เลอร์ และ เลบรอน เจมส์ นั้นไม่ใช่เรื่องราวที่แปลกประหลาดอะไรมากนัก พวกเขาคือคนดังในระดับโลกและอยู่ในวงการที่ต้องเดินเฉี่ยวกันไปเฉี่ยวกันมาอยู่บ่อยๆ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจคือ ปูมหลังของพวกเขาที่ทำให้เกิดผลงานน่าประทับใจที่กำลังได้รับคำชมอย่าง Hustle ซึ่งมันเปรียบเสมือนการเติมเต็มซึ่งกันและกันในสิ่งที่แต่ละคนขาดไป
สำหรับ อดัม แซนด์เลอร์ แม้จะเป็นนักแสดงระดับไอคอน แต่เรื่องบาสเกตบอลนั้นถือว่าเป็นรักแรกของเขาเลยก็ว่าได้ แซนด์เลอร์ เคยให้สัมภาษณ์ว่า บาสเกตบอลคือกิจกรรมที่เขาเล่นกับครอบครัวมาตั้งแต่ยังเด็ก
ครอบครัวของ แซนด์เลอร์ มีเชื้อสายจากผู้อพยพชาวยิวและรัสเซีย ก่อนจะมาตั้งรกรากกันที่บรูกลิน รัฐนิวยอร์ก ก่อนจะย้ายไปอยู่ที่แมนเชสเตอร์ รัฐนิวแฮมป์เชียร์ ที่นั่นมีกิจกรรมที่ชื่อว่า บาสเกตบอลลีกสำหรับศูนย์ชุมชนชาวยิว ซึ่งนั่นทำให้ แซนด์เลอร์ ได้มีโอกาสต่อยอดด้านการเล่นบาสเกตบอลมาอย่างต่อเนื่อง
“บาสเกตบอลสำหรับผมมันเริ่มตั้งแต่ผมยังเด็กเลย ผมเล่นกับพ่อกับพี่ชาย หน้าบ้านเรามีเสาโทรศัพท์อยู่ต้นนึง พ่อผมก็หากระดานสีน้ำตาลไปติดไว้ด้านบนและติดตั้งห่วงขนาดเล็กลงไป มันเป็นแป้นบาสที่ชู้ตยากมาก แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำ เราเล่นกันบนถนนนี่แหละ พอรถมาเราก็ต้องหยุดให้รถไป นั่นคือความทรงจำของผมเลย” แซนด์เลอร์ กล่าว
การซ้อมบาสหน้าบ้านทุกวันทำให้ แซนด์เลอร์ กลายเป็นตัวแทนระดับมัธยมตอนเขาเรียนที่ โรงเรียนมัธยมแมนเชสเตอร์เซ็นทรัล แต่ประเด็นสำคัญที่เป็นทางแยกของชีวิตคือ แซนด์เลอร์ กลับไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนักในฐานะนักบาสตัวโรงเรียน
ปัญหาของ แซนด์เลอร์ คือแม้เขาจะเป็นคนที่มีทักษะดีในระดับหนึ่ง สามารถเล่นวงนอกและยิง 3 แต้มได้แม่นยำ แต่เขากลับเชื่องช้า เขาเคยบอกว่า “ปัญหาเรื่องความเร็วคือเหตุผลที่ทำให้ผมไม่ค่อยถูกเลือกเข้าทีม” และของแบบนี้ บางทีมันก็จำเป็นต้องมีพรสวรรค์ด้วย แม้เขาจะพยายามอย่างหนักหน่วงในการฝึกซ้อม แต่สิ่งที่พัฒนาคือด้านทักษะเท่านั้น เรื่องความเร็วคือสิ่งที่เขาไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดไปได้จริงๆ
ว่ากันว่าพรสวรรค์คือสิ่งที่คุณแสดงมันออกมาได้โดยธรรมชาติ และบางครั้งแทบไม่ต้องพยายามเลยด้วยซ้ำไป แต่สำหรับ แซนด์เลอร์ พรสวรรค์ของเขาคือการเรียกเสียงฮา เขากลายเป็นตัวโจ๊กเบอร์ 1 ของโรงเรียนในด้านลีลาการแสดงออกและคำพูดคำจาที่ฉะฉานเฉียบคมพร้อมมุกฮาๆที่ขนมาหลายตับ เขากลายเป็นคนดังของโรงเรียนเพราะเรื่องเหล่านี้ ก่อนที่จะได้รับการผลักดันจากครอบครัวให้เข้าเรียนด้านการแสดงที่ สถาบันภาพยนตร์และโรงละครหลังจากจบมัธยมปลาย
ซึ่งเมื่อเลือกเส้นทางนั้น แซนด์เลอร์ ก็ทำได้ดี เขาเรียนจบระดับปริญญาตรีสาขาการแสดง จนได้ปรากฏตัวครั้งแรกในรายการ ช่วงปี 1980 ก่อนจะเริ่มถูกรู้จักในฐานะแขกรับเชิญขาประจำของรายการ
นั่นคือจุดเริ่มต้นทั้งหมดก่อนที่ อดัม แซนด์เลอร์ จะประสบความสำเร็จในฐานะนักแสดงตลกตัวท็อปของฮอลลีวูดผ่านภาพยนตร์เรื่อง และอื่นๆอีกมากมายนับตั้งแต่ยุค 90s เป็นต้นมา
แซนด์เลอร์ ผ่านช่วงเวลาอันหอมหวานกับฮอลลีวูดมาอย่างยาวนาน ทว่าเมื่อถึงวันที่เขาเริ่มอายุมากขึ้นที่เขาผันตัวมาเป็นโปรดิวเซอร์และทำงานเบื้องหลังมากขึ้น เขาก็เริ่มหวนคิดถึงสิ่งหนึ่งที่เขาทำไม่สำเร็จและทิ้งมันไว้มาอย่างยาวนาน นั่นคือเรื่องราวของบาสเกตบอล
เขาเป็นคนที่ติดตามบาสเกตบอล มาตลอด ปรากฏตัวในสนามแข่งหลายครั้ง มีเพื่อนๆในกลุ่มนักบาสมาตั้งแต่ยุค 80s-90s ดังนั้น เมื่อเขาเซ็นสัญญาเล่นหนังกับ เป็นจำนวน 3 เรื่องด้วยค่าตัว 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แซนด์เลอร์ จึงอยากนำเสนอหนังเกี่ยวกับบาสเกตบอล สักครั้ง และครั้งนี้ไม่ใช่แค่สนองนีดคนดู แต่มันยังหมายถึงการพยายามทำในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเองมากที่สุดอีกด้วย
“ผมรักบาสเกตบอล นั่นเป็นเหตุผลที่ผมได้สนิทกับพวกนักบาสหลายคนมากๆ ผมเคยปรึกษาพวกเขาว่า ถ้าอยากจะทำหนังเกี่ยวกับบาสให้ดีในระดับที่ถูกจดจำจากทั้งคนในวงการบาสและคนดูหนัง อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุด? ก่อนที่ มาร์ค แจ็คสัน (อดีตผู้เล่นและเฮดโค้ชใน NBA) จะบอกว่า -ถ้าอยากทำหนังบาส สิ่งจำเป็นที่สุดก็คือคนในวงการบาสเกตบอลนี่แหละ-” อดัม แซนด์เลอร์ กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Hustle
ปัญหาคือการจะทำเรื่องให้สมจริงได้ในระดับที่เรียกว่า หรือหนังที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีลิขสิทธิ์แท้ สามารถใช้นักบาสเกตบอลหรือโค้ชระดับ NBA จริงๆเข้ามาแสดงเป็นตัวของพวกเขาเองในภาพยนตร์ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาต้องการคอนเน็กชั่นที่สามารถเอาคนในวงการเหล่านั้นมาลงจอได้ภายในงบประมาณการสร้างที่จำกัด
ซึ่งแน่นอนว่าทุนสร้างของ ที่ไม่ได้มากมาย เพียงประมาณ 21 ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น ไม่มีทางที่จะดึงเอาดารา แถวหน้าอย่าง เทร ยัง, ลูก้า ดอนซิช, สเตฟเฟ่น เคอร์รี่, ยานนิส อันเททูคุมโป และผู้เล่นระดับตำนานอีกหลายคนเข้ามาแสดงในหนังเรื่องนี้ได้ เขาต้องการใครสักคนที่มีอิทธิพลในวงการระดับพี่ใหญ่ คนที่ใครต่อใครก็อยากร่วมงานด้วย ซึ่งคนๆนั้นก็คือ เลบรอน เจมส์ ดาราตัวท็อปของ
แซนด์เลอร์ และ เลบรอน มีความคล้ายกันอยู่อย่างหนึ่ง พวกเขาเก่งในสิ่งที่พวกเขาทำในแบบที่ใครก็ยอมรับและให้ความเคารพ แต่พวกเขาเองก็มีอีกพื้นที่ที่อยากจะเข้าไปให้ถึง นั่นคือพื้นที่ต่างวงการที่พวกเขายังไม่เคยเข้าไปได้สำเร็จ
แซนด์เลอร์ อยากเป็นนักบาสแต่ดีไม่พอ เช่นเดียวกับ เลบรอน เองก็พยายามจะก้าวข้ามจากนักกีฬาเป็นคนในวงการฮอลลีวูด แต่ก็ได้รับคำวิจารณ์ด้านลบมากมาย ดังนั้น การเจอกันใน คือการส่งพลังคนละครึ่งที่กลายเป็นจุดลงตัวและทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ในที่สุด
นักบาสที่ล้มเหลวกับวงการบันเทิง
ในเรื่อง นั้น แซนด์เลอร์ รับบทเป็นแมวมองของทีมฟิลาเดลเฟีย เซเวนตี้ซิกเซอร์ส ที่ต้องพยายามหานักกีฬาฝีมือดีจากทั่วโลกเข้ามาเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปของทีม ในขั้นตอนการสร้างนั้น แซนด์เลอร์ รู้อย่างชัดเจนว่าถ้าจะทำให้หนังดูสมจริงและเข้าถึงอารมณ์ของคนดูได้ดีที่สุดก็ต้องให้นักบาสแถวหน้าของ เข้ามามีส่วนร่วมกับหนังจริงๆ
“การมีลีกที่ใหญ่ที่สุดเป็นฐานของเรื่องมันยากมากในแง่ของการถ่ายทำ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะดึงเอาความสมจริงออกมา แต่ข้อจำกัดนั้นก็หมดไป เพราะ เลบรอน เจมส์ ที่เป็นหนึ่งในโปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้” อดัม แซนด์เลอร์ กล่าว
ตัวของ เจมส์ นั้นมีบริษัทที่ชื่อ บริษัทพัฒนาและผลิตผลงานบันเทิงที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2007 โดยร่วมหุ้นกับคนดังหลายวงการรวมถึง เซเรน่า วิลเลียมส์ สุดยอดนักเทนนิสหญิงของสหรัฐอเมริกาด้วย ด้วยผลงานการผลิตภาพยนตร์หลายเรื่องและอยู่ในวงการบาสอยู่แล้ว ทำให้ เจมส์ สามารถติดต่อไปยัง NBA ได้โดยตรง เขาขอฟุตเทจต่างๆ รวมถึงติดต่อผู้เล่นแนวหน้าหลายคนให้เข้ามามีส่วนร่วมในหนังเรื่องนี้
ว่ากันว่าเหตุผลที่ เจมส์ อยากจะทำให้ ประสบความสำเร็จในแง่ของรายได้และคำวิจารณ์คือ ในช่วงปี 2019 ที่บริษัทของเขาได้ร่วมสร้างภาพยนตร์เรื่อง หรือที่หลายคนเรียกว่า Space Jam 2 ซึ่งเป็นการต่อยอดจาก หนังบาสเกตบอลขึ้นหึ้งที่นำแสดงโดย ไมเคิล จอร์เเดน ที่เข้าฉายในปี 1996
ผลตอบรับของ นั้นเรียกว่า “หายนะ” เลยก็ว่าได้ มันล้มเหลวทั้งในแง่ของรายได้ เพราะหนังทุ่มทุนสร้างถึง 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ทำรายได้ไปเพียง 162.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ในวงการภาพยนตร์ ทุนสร้างนั้นยังไม่รวมงบประมาณทางการตลาด ประเมินง่ายๆคือ หากหนังทำรายได้ 2 เท่าของทุนสร้างถึงจะเท่าทุน) และคำวิจารณ์ ทั้งการถูกนักวิจารณ์และผู้ชมสับแหลก จนได้เข้าชิงรางวัลแห่งฝันร้ายของคนทำหนังอย่าง หรือ โดย กวาดไปถึง 3 รางวัล ประกอบด้วย นักแสดงนำชายยอดแย่ ซึ่ง เลบรอน รับไปเต็มๆ, คู่หูยอดแย่ ซึ่งเลบรอนโดนร่วมกับตัวการ์ตูนของ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส รวมถึงรางวัลหนังภาคต่อยอดแย่
สื่ออย่าง ถึงกับออกตัวให้หนังเรื่อง ว่านี่จะเป็นหนึ่งในงานล้างคำสาปของเจมส์เลยก็ว่าได้ เขาต้องการลบภาพจำแย่ๆที่เกิดขึ้นออกไป แล้วสร้างหนังบาสเกตบอลที่กลายเป็นที่จดจำของแฟนๆให้ได้
“เลบรอน เจมส์ ได้อ่านเรื่องย่อและเขามั่นใจว่าเขาจะทำให้มันมีความรู้สึกเหมือนจริง เหมือนกับยก NBA มาไว้ในหนังได้ เขาจะเอาดารา จริงๆมามีส่วนร่วมกับหนังเรื่องนี้ ทุกคนในวงการตอบรับดีมากๆ เมื่อเป็นคำขอของ เลบรอน เจมส์ พวกเขารู้สึกว่าชื่อของ เจมส์ การันตีได้ว่าหนังเรื่องนี้จะไม่ทำให้พวกเขาต้องโดนฟ้องภายหลัง” แซนด์เลอร์ กล่าว
เมื่อถึงวันถ่ายทำก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ทุกคิวอัดเเน่นไปด้วยดารา NBA จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเฮดโค้ช, เจ้าของทีม, ผู้เล่น NBA ปัจจุบัน และตำนานผู้เล่น เรียกได้ว่า ทุกๆนาทีที่คนเหล่านี้ปรากฏตัว บวกกับบทที่ง่ายๆแต่ทรงพลังตามแบบฉบับหนังปั้นนักกีฬาคนหนึ่งเพื่อไปสู่ชัยชนะ ก็ทำให้ ได้รับคำชมเป็นอย่างมาก ที่แน่นอนคือแฟนหลายคนรู้สึกว่า พวกเขาได้รับการเซอร์วิซอย่างเต็มอิ่ม ซึ่งเรื่องนี้ต้องขอบคุณในความทุ่มเทของ เจมส์ ที่ทำให้หนังได้ส่วนผสมที่ลงตัวระหว่าง ฮอลลีวูด กับ
จบแบบฟีลกู้ด
ภาพยนตร์เรื่อง Hustle นั้นเป็นเรื่องราวของ สแตนลี่ย์ ชูเกอร์แมน (รับบทโดย แซนด์เลอร์) แมวมองที่พยายามหานักบาสฝีมือดีจากทั่วโลกมาเข้าสู่ทีมซิกเซอร์ส (สาเหตุที่เป็นทีมนี้เพราะเป็นทีมบ้านเกิดของ เจอเรไมห์ เซการ์ ผู้กำกับ) จนกระทั่งเขาได้เจอกับ โบ ครูซ (รับบทโดย ฆวนโฆ่ เอร์นานโกเมซ ผู้เล่นชุดปัจจุบันของ ยูทาห์ แจ๊ซ) คนงานก่อสร้างชาวสเปน ผู้เคยมีอดีตเป็นนักบาสฝีมือดีในช่วงที่ยังเป็นเยาวชน แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมากมาย ชีวิตจึงผกผันต้องมาทำงานหาเลี้ยงชีพตัวเอง รวมถึงแม่และลูกสาว
สแตนลี่ย์ หนีบ โบ บินข้ามทวีปจากสเปนมายังสหรัฐอเมริกาเพื่อพามาเข้าลีกให้ได้ ซึ่งเรื่องหลังจากนั้นก็เป็นเรื่องของการพยายามเอาชนะอุปสรรค ก้าวข้ามปัญหา และสู้ในสิ่งที่ตัวเองรักเพื่อคนข้างหลัง เรียกได้ว่าเป็นหนังฟีลกู้ดที่ดูเพลินๆ และได้แรงบันดาลใจอย่างแท้จริง ยิ่งถ้าคุณเป็นคนที่ติดตาม NBA เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คุณจะได้สนุกกับการได้เห็นนักบาส ทั้งในอดีตและปัจจุบันมารับบทบาทต่างๆในเรื่อง บางคนแสดงเป็นตัวเอง บางรายก็แสดงบทบาทที่ฉีกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
เรื่องราวจะเป็นอย่างไรก็คงต้องไปติดตามกันในหนังเพื่อตัดสินกันด้วยตัวเอง ทว่าในหนังเรื่องนี้มีการสะท้อนหลายสิ่งหลายอย่างออกมาถึงความพยายามของคนที่เอาโลกของฮอลลีวูดมาเจอกับ NBA ได้เป็นอย่างดี
มีบทพูดบทหนึ่งของ สแตนลี่ย์ ที่บอกว่า “คนวัย 50 ปีอย่างผมไม่มีความฝันหรอก” แต่เอาเข้าจริง เขากลับพยายามเป็นอย่างหนักในการทำให้ โบ ครูซ ได้เป็นนักบาสระดับ NBA เรียกได้ว่าเหมือนกับใส่ฝันของตัวเองลงไปครึ่งหนึ่งของเรื่องนี้ นอกจากนี้ สิ่งที่ สแตนลี่ย์ และ แซนด์เลอร์ มีเหมือนกันคือ พวกเขาต่างมีความฝันเหมือนกัน นั่นคือ “การใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อมาอยู่ใน NBA ให้ได้”
ซึ่งสิ่งที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้คือแม้จะไม่ใช่การแข่งบาส NBA จริงๆ แต่ฉากที่เกี่ยวกับ NBA ในเรื่องนี้สมจริงเป็นอย่างมาก แม้แต่ เเซนด์เลอร์ เองก็ยังบอกว่านี่เหมือนเป็นฉากหนึ่งที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริงของเขาเลยทีเดียว
“มีฉากลึกซึ้งและทำให้ผมอินจริงๆหลายฉาก มันเชื่อมโยงกับชีวิตของผม ผมรับบทเป็นชายที่พยายามทำงานหนักมาตลอดชีวิตแต่ไม่เคยเข้าใกล้เป้าหมาย ถูกมองข้าม และโดนขวางทาง จริงอยู่ที่ชีวิตนักแสดงของผมอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องคือการผสมผสานระหว่างสิ่งที่ผมเคยทำในอดีตกับตัวผมในวันนี้ และเมื่อผมได้สัมผัสมันก็เป็นอีกครั้งที่ผมต้องเผลอถามตัวเองว่า นี่ฉันเป็นใครกันวะเนี่ย?” แซนด์เลอร์ เล่าถึงหนังของเขา
ขณะที่ เลบรอน เจมส์ รับเครดิตเเบบเงียบๆกับหนังเรื่องนี้ เขาได้รับคำขอบคุณจากแซนด์เลอร์และทีมผู้สร้างคนอื่นๆเป็นอย่างมากในการพยายามทำงานเบื้องหลังมาตลอดทั้งการถ่ายทำ จน Hustle กลายเป็นหนังบาสเกตบอลที่ดูแล้วสร้างความประทับใจที่สุดเรื่องหนึ่งในรอบหลายปี
เลบรอน เจมส์ อาจจะไม่ได้แสดงด้วยตัวเอง แต่วันนี้เขาได้คำชมจากฮอลลีวูดเเล้ว นักกีฬาผู้ยิ่งใหญ่สามารถลบคำดูถูกที่เกิดขึ้นกับเขาได้สำเร็จ เรียกได้ว่าความพยายามคนละครึ่งของ แซนด์เลอร์ และ เจมส์ ทำให้ กลมกล่อม และจะคุ้มค่ากับเวลารับชมทุกวินาทีอย่างแน่นอน